นวัตกรรม
แนวทางการบริหารจัดการ
การสร้างนวัตกรรมอย่างมีระบบสามารถส่งเสริมการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของโอสถสภาและช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมีนัยสำคัญ ผ่านความร่วมมือจากทั้งหน่วยงานภายในและพันธมิตรทางธุรกิจ โดยมีทีมงานด้านนวัตกรรม เป็นศูนย์กลางในการติดตามผลการดำเนินงานของโครงการต่างๆ อย่างเป็นกระบวนการ
ผลการดำเนินงานที่สำคัญ
กลไกสำคัญอย่างหนึ่งในการขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทฯ คือการมุ่งเน้นที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้การคิดค้นสูตรและบรรจุภัณฑ์ใหม่ๆทีมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนาทักษะด้านการวิจัยและพัฒนาในกระบวนการผลิต ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการนำผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดอย่างดีเยี่ยม ตั้งแต่กระบวนการจัดซื้อวัตถุดิบไปจนส่งมอบถึงมือผู้บริโภค
O-IPM คือ กระบวนการบริหารจัดการของโอสถสภาเพื่อให้เกิดการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในการส่งมอบ นวัตกรรมออกสู่ตลาด โดยพิจารณาจากองค์ประกอบเหล่านี้
ความเกี่ยวข้องกับผู้บริโภค
การประเมินและบริหารจัดการความเสี่ยง
การลงทุนวิจัยและพัฒนา
การจัดการปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อผลิตภัณฑ์
ตั้งแต่ปี 2563 โอสถสภา เริ่มใช้ Stage-Gate Process ในการบริหารจัดการกระบวนการด้านนวัตกรรม โดยเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนความคิดริเริ่ม จนถึงผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด
Stage Gate Process เป็นกระบวนการพัฒนานวัตกรรมของโอสถสภา โดยเริ่มจากความคิดสร้างสรรค์ไปสู่ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ เมื่อความคิดใหม่ๆ ได้บทสรุป
ตามแผนงานและหลังจากผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดระยะหนึ่ง ทางบริษัทจะมีขั้นตอนสุดท้ายในการประเมินกระบวนการต่าง ๆ ที่ทำมา รวมถึงความสำเร็จของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ในตลาด สำหรับสินค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย กระบวนการสามารถปรับให้ง่ายขึ้นเพื่อย่นระยะเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ออกสู่ตลาด
กระบวนการทางธุรกิจ
โดยแต่ละโครงการจะขับเคลื่อนด้วยคณะทำงาน หรือ CORE TEAM ซึ่งประกอบด้วยหัวหน้าคณะทำงานและทีมงานจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น ฝ่ายวิจัยและพัฒนา (R&D) ฝ่ายโรงงาน ฝ่ายควบคุมคุณภาพ ฝ่ายห่วงโซ่อุปทาน ฝ่ายการตลาด ฝ่ายการขาย และฝ่ายการเงิน เป็นต้น มาทำงานร่วมกันตลอดระยะเวลาการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยนำเสนอผลความก้าวหน้าในแต่ละขั้นตอนและข้อมูลสำคัญทางธุรกิจล่าสุดไปยัง
คณะกรรมการจากหน่วยงานต่าง ๆ หรือ GATEKEEPERS ที่ทำหน้าที่ติดตามแผนงานและสถานะของโครงการในมิติต่างๆ เช่น สถานการณ์ตลาด ผลการวิจัย การเงิน เพื่อตัดสินใจเดินหน้าโครงการ ชะลอโครงการ หรือ ยุติโครงการ ตามความเหมาะสม
โอสถสภามุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่าความต้องการพื้นฐานของผู้บริโภค เราต้องการเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีและมีวิถีชีวิตที่ยั่งยืน เราพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องและใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำสมัย ประกอบกับความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมจากการดำเนินธุรกิจเป็นเวลายาวนานกว่าสองศตวรรษ ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเรามีความหลากหลายและแบรนด์ของเราได้เปรียบในการแข่งขัน
เราปรับปรุงโครงสร้างด้านนวัตกรรมเพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนามีความสอดคล้องกับแนวทางการเติบทางธุรกิจ โดยมีศูนย์การดำเนินงานด้านนวัตกรรมหลักได้แก่ ห้องปฏิบัติงานศูนย์วิจัยและพัฒนาโอสถสภา (Osotspa R&D Lab) ที่สำนักงานใหญ่หัวหมาก และศูนย์นวัตกรรมโอสถสภา ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Osotspa Innovation Center - OIC) เราสามารถทำงานในระดับห้องปฏิบัติการ เพื่อเข้าใจกระบวนการพัฒนาและกระบวนการผลิตสินค้าใหม่โดยไม่จำเป็นต้องแทรกแซงกระบวนการผลิตหลัก ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องและลดผลกระทบจากความล่าช้าในสายการผลิตอย่างมีนัยสำคัญ ในแต่ละโครงการแบ่งขั้นตอนต่างๆ ที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของแต่ละโครงการ
ชิ้นงานและผลลัพธ์ของแต่ละ Gate แยกตามหน่วยงาน
โอสถสภาปรับใช้กระบวนการ O-IPM อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและความสามารถในการแข่งขัน ลดความซับซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร โดยในปี 2566 โอสถสภาได้นำกระบวนการ O-IPM ไปใช้กับธุรกิจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย นอกจาก การติดตามประเมินผลหลังจากนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดแล้ว ทีมงานได้มีการถอดบทเรียนจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาเพื่อนำไปพัฒนาให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในอนาคต
ในปี 2566 เราได้นำเครื่องมือด้าน ดิจิทัลมาใช้จัดเก็บข้อมูลสำคัญทั้งหมด อาทิ ผลการทดลองและการทดสอบ อาร์ตเวิร์ก แผนระยะเวลาโครงการ ผลงานออกแบบผลิตภัณฑ์ และ แบบร่างบรรจุภัณฑ์ โดยเราให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเป็นอย่างมาก มีการป้องกันหลายขั้นตอน เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลสามารถเข้าถึงได้โดยบุคลากรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นและข้อมูลอันเป็นความลับจะถูกเก็บไว้อย่าง ปลอดภัย
ในปี 2566 โอสถสภาเร่งผลักดันผลิตภัณฑ์นวัตกรรมของกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มทั้งด้านรูปแบบบรรจุภัณฑ์ และ/หรือคุณประโยชน์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตและแนวโน้มผู้บริโภคและขยายไปยังผู้บริโภคกลุ่มใหม่ที่มี อัตราการเติบโตสูง ได้แก่ กลุ่มพนักงานออฟฟิศ (White collar) กลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ (New Economy Workers) กลุ่มผู้สูงวัย (Silver generation) และกลุ่ม Millennials โดยเปิดตัวผลิตภัณฑ์เอ็ม-150 สปาร์คกลิ้ง ในรูปแบบกระป๋อง มีการออกแบบที่ทันสมัย จับกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นในตลาดพรีเมี่ยม สอดคล้องกับกับกลยุทธ์การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ของบริษัท กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม Functional Drinks นำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเปปทีน ดริ๊งค์ ดี รสชาติใหม่ ดื่มง่าย มีวิตามินดีสูง ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองด้วยออริจินัล ซอยเปปไทด์ ส่วนผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มคาลพิสนำเสนอเครื่องดื่มที่เพิ่มคุณประโยชน์ใหม่และสร้างสรรค์รสชาติเฉพาะฤดูกาลอย่าง คาลพิส แลคโตะ สูตรไฟเบอร์ 5,000 มก. ช่วยปรับสมดุลทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย และคาลพิส แลคโตะ โซดา กลิ่นแอปเปิ้ลอาโอโมริ เพิ่มความสดชื่นพร้อมประโยชน์จากแลคโตบาซิลลัส ตลอดจนผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มซี-วิทเปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มทางเลือกเพื่อสุขภาพสูตรปราศจากน้ำตาลรสเลมอน รสส้ม และรสชาติใหม่อย่างรสพีช เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชาร์ค ที่นำเสนอสองรสชาติทางเลือกเพื่อสุขภาพทั้ง ชาร์ค โซดา รสเลม่อน ม็อกเทล และชาร์ค โซดา รสบ๊วยญี่ปุ่น สูตรปราศจากน้ำตาลและแคลอรี่
ในขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลอย่างแบรนด์เบบี้มายด์ได้พัฒนาและคิดค้นเพื่อปรับสูตรผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์เป็นสูตรออร์แกนิก 100% รวมถึงเปลี่ยนใช้บรรจุภัณฑ์ที่นอกจากจะปลอดภัยต่อ ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมมากขึ้นแล้ว ยังช่วยลดปริมาณการใช้พลาสติกลงได้อีกด้วย และกลุ่มผลิตภัณฑ์โรลออนระงับกลิ่นกายภายใต้แบรนด์ทเวลฟ์ พลัส (Twelve Plus) และแบรนด์เอ็กซิท (Exit) มีการพัฒนานวัตกรรมในผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องด้วยความเชี่ยวชาญด้านน้ำหอมคุณภาพสูง ต่อยอดกับคุณสมบัติที่ช่วยบำรุงผิวควบคู่กับการระงับกลิ่นกายได้ยาวนานขึ้น
การปรับปรุงประสิทธิภาพการทดสอบอายุการเก็บรักษา
โอสถสภา ร่วมมือกับ Amatek ผู้ผลิตเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์เครื่องกลไฟฟ้าระดับโลก ในการลดระยะเวลาการทดสอบอายุผลิตภัณฑ์จากเดิม 12 เดือนให้เหลือเพียง 1 เดือน โดยผ่านการจัดเก็บผลิตภัณฑ์ในสภาวะที่เหมาะสมด้วยเครื่อง Sun Test ทำให้สามารถวิเคราะห์ปัญหาที่อาจ เกิดขึ้นและทดสอบความคงตัวของผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเครื่อง Sun Test สามารถเลียนแบบสภาวะจริง อาทิ ผลิตภัณฑ์ในคลังสินค้า ผลิตภัณฑ์ระหว่างการขนส่งและผลิตภัณฑ์บนชั้นวางสินค้า ทำให้เราสามารถมั่นใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์และ ตอบสนองต่อข้อร้องเรียนของผู้บริโภคได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ลดเวลาการทดสอบผลิตภัณฑ์ เทำให้สามารถตอบสนองต่อข้อร้องเรียนของผู้บริโภคได้ดีขึ้น
การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องล้างขวดแก้ว
เราศึกษาประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องล้างขวดแก้วโดยพิจารณาร่วมกับกระบวนการผลิตที่ใช้ความร้อนแบบองค์รวมที่โรงงานบรรจุเครื่องดื่ม แล้วทำการทดสอบการปรับการเวลาและอุณหภูมิให้เหมาะสมที่โรงงานนำร่อง (Pilot Plant) เพื่อให้เครื่องล้างขวดแก้วสามารถทำงานได้ตามมาตราฐานที่วางไว้ รวมถึงลดการใช้น้ำและพลังงานอย่างมีนัยสำคัญ
ลดต้นทุนกว่า
ลดการใช้พลังงาน
ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
การปรับปรุงรูปแบบวัตถุดิบที่จำหน่ายให้กับธุรกิจระหว่างประเทศของโอสถสภา
ขับเคลื่อนจากการพัฒนาด้านความยั่งยืน ทีมวิจัยและพัฒนาได้ปรับปรุงรูปแบบการส่งออกวัตถุดิบไปยังประเทศเมียนมาร์ ให้อยู่ในรูปแบบผง ทดแทนของเหลวรูปแบบเดิม โดยรูปแบบใหม่นี้ ช่วยลดต้นทุนและก่อเกิดความยั่งยืนในหลาย ขั้นตอนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การเตรียมวัตถุดิบ การขนส่ง ไปจนถึงการผลิตสินค้าสำเร็จรูป
ลดต้นทุนกว่า
ลดปริมาณการใช้น้ำ
ลดการใช้พลังงาน
ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
เม็ดพลาสติกรีไซเคิลจากบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว
โอสถสภา ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับบริษัท Union J Plus ในประเทศไทย เพื่อจัดทำโครงการนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ภายใต้กรอบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Make-Use-Return)
โครงการนี้ดำเนินการโดยมีเป้าหมายในการจัดการขยะพลาสติกที่เกิดจากสายการผลิตของเรา ขยะพลาสติกจะถูกรวบรวมเพื่อรีไซเคิลและแปรรูปเป็นวัสดุใหม่ โดยมีบริษัท Union J Plus เป็นผู้ดูแลกระบวนการทั้งหมดจนถึงขั้นตอนการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) จากนั้นเม็ดพลาสติก PCR จะถูกนำมาแปรรูปเป็นฟิล์ม PE แบบหดตัวเพื่อใช้ในการผลิตเครื่องดื่มที่โรงงานผลิตสลากผลิตภัณฑ์ของโอสถสภา
ปัจจุบัน มีการใช้เม็ดพลาสติก PCR ปริมาณ 30% ในโรงงานผลิตของโอสถสภา เป็นการช่วยลดปริมาณการใช้เม็ดพลาสติกใหม่ 169.9 ตันต่อปี
ลดความหนาของกระป๋องอะลูมิเนียม ดำเนินโครงการ Aluminum Loop CAN
โอสถสภา จับมือกับบริษัท Thai Beverage Can เพื่อลดการใช้อะลูมิเนียม โดยมีเป้าหมายลดความหนาของกระป๋อง ที่ใช้บรรจุผลิตภัณฑ์ใหม่ตั้งแต่เดือนเมษายน 2566 เป็นต้นไป สอดคล้องกับการดำเนินโครงการ "Aluminium Loop CAN"
โครงการนี้ช่วยลดการใช้อะลูมิเนียมปริมาณ
ภายใต้โครงการ "Aluminium Loop CAN" กระป๋องอะลูมิเนียมทั้งหมดที่ผลิตโดยโอสถสภา จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการเพื่อการรีไซเคิลแบบครบวงจร โดยปริมาณของบรรจุภัณฑ์และกระบวนการรวบรวม มีความโปร่งใสและสามารถ ตรวจสอบย้อนกลับได้ ทั้งนี้ ประเทศไทยถือ เป็นประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีความพร้อมในการจัดการขยะอะลูมิเนียมในประเทศอย่างเต็มรูปแบบ
ความสามารถทางเทคนิคเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำงานอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ในปี 2566 โอสถสภา ได้ร่วมมือกับบริษัท Specright ประเทศสหรัฐอเมริกา ในการปฏิวัติระบบการจัดการข้อกำหนดด้านบรรจุภัณฑ์ให้อยู่ในรูปแบบของแพลตฟอร์มอัตโนมัติ ความก้าวหน้าจากการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบดิจิทัลที่สำคัญของเราในครั้งนี้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำและความรวดเร็วในกระบวนการทำงานของทุกกลุ่มธุรกิจโอสถสภา เครื่องมือสำคัญนี้ สามารถปรับเพิ่มขนาดการใช้งานได้ตามความต้องการ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรวบรวมข้อมูลและจัดการข้อกำหนดด้านบรรจุภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกระบวนการภายใสำหรับพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงโครงการริเริ่มเพื่อลดต้นทุนและพัฒนาความยั่งยืน
ในตำแหน่งวิจัยและพัฒนา (R&D)
ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาทั้งหมด
Talcum Harmonized Packaging
โอสถสภาได้มีการวิจัยและพัฒนาโดยคำนึงถึงการออกแบบที่ช่วยส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนจากการลดปริมาณการใช้วัสดุพลาสติกในระบบบรรจุภัณฑ์ของกลุ่มผลิตภัณฑ์แป้งเด็ก (Baby Talcum) และแป้งเย็น (Cool Talcum) ภายใต้ตราสินค้า Babi Mild, Twelve Plus และ Exit ซึ่งได้พิจารณาครอบคลุมถึงทั้งผลิตภัณฑ์ปัจจุบันและผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยมุ่งเน้นการลดน้ำหนักของทั้งขวดและฝา ประกอบกับลดความหลากหลายของขนาดขวดให้เหลือเพียงขนามาตรฐาน 3 ขนาดที่เหมาะสมและใช้ฝาขนาดเดียวกันร่วมกันทั้งหมด ช่วยลดน้ำหนักพลาสติกลงได้ถึง 119.59 ตันต่อปี
ในขณะเดียวกันการดำเนินการดังกล่าวส่งผลให้เกิดการลดน้ำหนักของฟิล์มหด (Shrink Film) ที่ใช้ในการรวมหน่วยเพื่อการขายสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์แป้งเด็ก Babi Mild แพ็คคู่ด้วย เนื่องจากได้ยกเลิกการใช้ฟิล์มหด PVC เปลี่ยนไปใช้เป็น POF ทดแทน ซึ่งมีความหนาลดลง 45% คิดเป็นน้หนักพลาสติกที่ลดลงจากส่วนนี้ทั้งหมด 4.03 ตันต่อปี
นอกจากนี้ทางบริษัทยังมีเป้าหมายในการนำระบบบรรจุภัณฑ์ดังกล่าวไปปรับใช้สำหรับการวิจัยละพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์แป้งเด็กและแป้งเย็นในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้เกิดการลดการใช้พลาสติกและน้ำหนักของผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
จากปี 2021
ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้
โอสถสภาลงทุนและต่อยอดงานวิจัยและพัฒนา (R&D) ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ รวมถึงวัสดุทางเลือก เพื่อตอบโจทย์กับความคาดหวังของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปและมุ่งสู่การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตโดยรวม รวมถึงคำนึงเป้าหมายด้านความยั่งยืน บริษัทตั้งเป้าหมายระยะยาวสำหรับงบลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาอย่างน้อยร้อยละ 1 ของรายได้ โดยปัจจุบันโอสถสภาลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาคิดเป็นร้อยละ 0.3 ของรายได้ บริษัทมีการวางรากฐานผลักดันนวัตกรรมเพื่อการเติบโตโดยมีนักวิจัยมากกว่า 65 คนและอุปกรณ์ที่ทันสมัย ซึ่งทีมงานวิจัยและพัฒนาทำงานร่วมกับฝ่ายการผลิต ทีมขายและการตลาด และหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (Cross-functional teams) ตลอดจนคู่ค้าทางธุรกิจ และทีมประสานงานรัฐกิจสัมพันธ์เพื่อมอบผลงานที่ดีที่สุดสู่ผู้บริโภค เพิ่มประสิทธิภาพทำงานวิจัยและพัฒนา แลกเปลี่ยนความเข้าใจเกี่ยวกับแนวโน้มตลาด เทคโนโลยี และแนวปฏิบัติสากล นอกจากนี้ โอสถสภาให้ความสำคัญด้านคุณภาพเป็นอันดับแรก โดยโรงงานผลิตที่หัวหมากได้รับการรับรองมาตรฐานระบบการจัดการคุณภาพ ISO 9001 ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และบริษัทมุ่งมั่นพัฒนาความสามารถของบุคลากรผ่านการฝึกอบรม และเพิ่มมีประสิทธิภาพการเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต ตลอดจนโรงงานผลิตทุกแห่งของบริษัท
โอสถสภามีศูนย์นวัตกรรมสองแห่ง ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาที่สำนักงานใหญ่ หัวหมาก และศูนย์นวัตกรรมโอสถสภาที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย การมีห้องปฏิบัติการภายในองค์กรช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ต้นแบบโดยไม่กระทบกับกระบวนการผลิตหลัก นอกจากนี้ โอสถสภาร่วมมือกับนักวิจัยและนักวิชาการของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศ อาทิ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ในการศึกษาและเข้าถึงข้อมูลวิเคราะห์วิจัยเชิงลึก เพื่อมาต่อยอดนวัตกรรมสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น