ผลการดำเนินงาน

เป้าหมายปี 2568
*คู่ค้าผู้จัดหาวัตถุดิบสมุนไพร เศษแก้ว และชิ้นส่วนอะไหล่
สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้แก่ คู่ค้าในท้องถิ่น / รายย่อย *
450
ราย
เป้าหมายปี 2568
พัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ผู้จัดหาวัตถุดิบสมุนไพรในท้องถิ่น
500
ราย
เป้าหมายปี 2568
100%
ของคู่ค้าที่สำคัญ ได้รับการประเมินด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG)

แนวทางการบริหารจัดการ

บริษัทฯ ได้สนับสนุนคู่ค้าให้ปฏิบัติตามคู่มือจริยธรรมและความยั่งยืน (Supplier’ Code of Conduct and ESG principle) ครอบคลุมคู่ค้าลำดับที่ 1 (Tier-1 supplier) บริษัทฯ มุ่งบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างมี ประสิทธิภาพและมีจริยธรรม โดยบูรณาการประเด็นด้านความยั่งยืนเข้าไปในการสรรหาและคัดเลือกคู่ค้าราย ใหม่ทุกขั้นตอน ตามมาตรฐาน ISO 20400 Sustainable Procurement ครอบคลุมประเด็นสำคัญ ๆ (Supplier screening) เราจะไม่ดำเนินธุรกิจกับคู่ค้าหากคู่ค้าไม่สามารถบรรลุถึง ESG ขั้นพื้นฐานในระยะเวลา ที่กำหนด โดยมีแผนดำเนินงานการประเมินความเสี่ยงทางด้านความยั่งยืนกับคู่ค้าลำดับที่ 1 จัดกลุ่มคู่ค้าที่ สำคัญ (Critical tier 1 supplier) และกลุ่มคู่ค้าที่มีความเสี่ยงสูง มีแผนดำเนินการประเมินคู่ค้าโดยผู้เชี่ยวชาญ จากภายนอก (3rd party audits) การติดตามแผนดำเนินงานจากคู่ค้า (implementation of corrective/improvement actions) ตลอดจนแผนงานการอบรมและพัฒนาศักยภาพพนักงานของเราด้าน Supplier ESG Program อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับนำส่ง แบบฟอร์มการประเมินตนเองตามมาตรฐาน SASB® ให้แก่คู่ค้า ซึ่งมีการลงพื้นที่ตรวจสอบจริงโดยบริษัทฯ (2nd party audits)

การบริหารจัดการความสัมพันธ์กับคู่ค้าของโอสถสภา

โอสถสภา ดำเนินงานร่วมกับคู่ค้าที่หลากหลายทั้งบริษัทข้ามชาติไปจนถึงวิสาหกิจชุมชนหรือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในการการจัดหาวัตถุดิบและวัสดุสำหรับการผลิตบรรจุภัณฑ์ รวมถึงการผลิตสินค้าในรูปแบบ OEM ที่มีคุณภาพสูงและราคาเหมาะสม ตลอดจนร่วมสร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนสนับสนุนให้คู่ค้าของเรามีการดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

ช่องทางในการบริหารความสัมพันธ์กับคู่ค้า

Osotspa Vendor Relationship Management (OSRM) Program เป็นโปรแกรมที่เสริมสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับผู้ค้าเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ เพื่อพัฒนา คุณภาพสินค้า บริการ และนวัตกรรมร่วมกัน
การฝึกอบรม สร้างความตระหนักและความเข้าใจทางด้าน ESG กฎหมายข้อกำหนดและ คู่มือจริยธรรมคู่ค้า (Supplier Code of Conduct: SCoC) ครอบคลุมทั้งคู่ค้าใหม่ และคู่ค้าปัจจุบัน
การตรวจสอบความสอดคล้องในประเด็นทางด้านคุณภาพและด้าน ESG ณ พื้นที่ดำเนินการคู่ค้ากลุ่มกลยุทธ์
การเข้าเยี่ยมชมกิจการและกิจกรรมการส่งเสริมศักยภาพคู่ค้าเกษตรกร

การแบ่งหมวดหมู่คู่ค้า

เพื่อการขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางด้านความยั่งยืนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพโอสถสภาได้ปรับประยุกต์แนวทางสากลเข้ากับการบริหารคู่ค้าบริษัทในการกำหนดหมวดหมู่คู่ค้า

คู่ค้าที่สำคัญ

หมายถึง คู่ค้าที่ยอดซื้อขายสูงรวมมากกว่า 67 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการซื้อขายรวม ของกลุ่มคู่ค้าที่ได้ผ่านกระบวนการคัดเลือกและถูกบรรจุอยู่ในรายชื่อคู่ค้าขึ้นทะเบียน (Approved Vendor List) คู่ค้ากลุ่มกลยุทธ์ที่มีการวางแผนการจัดซื้อจัดจ้าง ร่วมกันหรือมีการตกลงในริเริ่มพัฒนาโครงการร่วมกัน และกลุ่มที่มีน้อยรายหรือ หาทดแทนได้ยาก และมุ่งหวังบริหารจัดการประเด็นทางด้านความยั่งยืนไปยัง คู่ค้าลำดับถัดไปของกลุ่มนี้อีกด้วย

สัดส่วนปริมาณผู้จำหน่าย
5,400 ล้านบาท
สัดส่วนมูลค่าการจัดซื้อของ Critical Tier 1 Supplier ต่อมูลค่าการจัดซื้อทั้งหมดของคู่ค้าที่ผ่านการรับรองทั้งหมดในบัญชีรายชื่อ
44%
การระบุคู่ค้าที่มีความเสี่ยงสูง
3 คู่ค้ารายสำคัญ ลำดับที่ 1
ไม่มีคู่ค้ารายใดที่ได้รับการประเมินว่า มีผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญ หรือมีโอกาสที่จะเกิดขึ้น
สัดส่วนจำนวนคู่ค้า
ประเภทของคู่ค้า จำนวนคู่ค้า (ราย)
คู่ค้าลำดับที่ 1 (Tier-1 Suppliers) 1,761
คู่ค้าลำดับถัดไป (Non-Tier 1 Suppliers) 213
คู่ค้ารายสำคัญลำดับที่ 1 (Critical Tier 1 Suppliers) 33
คู่ค้ารายสำคัญลำดับถัดไป (Critical Non-Tier 1 Suppliers) 213
คู่ค้าที่สำคัญลำดับที่ 1 (Significant Tier-1 Suppliers) 33
คู่ค้าที่สำคัญลำดับถัดไป (Significant Non-Tier 1 Suppliers) 213
คู่ค้าที่สำคัญทั้งหมด (Significant Tier-1 and Non-Tier 1 Suppliers) 246
% ของยอดใช้จ่ายรวมของ คู่ค้าที่สำคัญลำดับที่ 1 51

การสรรหาและคัดเลือกคู่ค้า (Supplier Screening)

โอสถสภามุ่งบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพและมีจริยธรรม โดยบูรณาการประเด็นด้านความยั่งยืนเข้าไปในการสรรหาและคัดเลือกคู่ค้ารายใหม่ทุกขั้นตอน พร้อมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์การให้คะแนนการประเมินศักยภาพและคุณสมบัติด้าน ESG ในการคัดเลือกคู่ค้ารายใหม่ตามมาตรฐาน ISO 20400 Sustainable Procurement ตามปณิธานที่ว่าบริษัทฯ จะไม่ดำเนินธุรกิจกับคู่ค้า หากคู่ค้าไม่สามารถบรรลุข้อกำหนด ESG ขั้นพื้นฐานในระยะเวลาที่กำหนด ดังนั้น คู่ค้าที่มีผลการดำเนินงาน ESG เป็นที่ประจักษ์ จะได้รับการพิจารณาเป็นลำดับแรก โดยมีการกำหนดน้ำหนักขั้นต่ำสำหรับเกณฑ์การประเมิน ESG ในกระบวนการคัดเลือกและการมอบสัญญา

สำหรับการเข้าร่วมและคงอยู่ในทะเบียนรายชื่อคู่ค้าของโอสถสภา บริษัทฯ จะพิจารณาศักยภาพของคู่ค้าจากคุณสมบัติและความสามารถด้านการดำเนินธุรกิจของคู่ค้า ตลอดจนการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)

หลักเกณฑ์การประเมินคู่ค้า

รวมถึงการพิจารณาปัจจัยความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ได้แก่

  1. ความเสี่ยงที่เกิดจากความไม่แน่นอนของภาวะทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง หรือปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่คู่ธุรกิจตั้งอยู่ (Country-specific Risk)
  2. ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มธุรกิจ (Sector-specific Risk)
  3. ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity-specific Risk) ที่จะต้องผ่านเกณฑ์ ทั้งนี้คู่ค้าเดิมที่อยู่ในทะเบียนรายชื่อของบริษัทฯ จะได้รับการประเมินในลักษณะเช่นเดียวกันเป็นประจำทุกปี
ในปี 2566
ไม่มีความเสี่ยงด้าน ESG ที่เกิดจากคู่ค้า

การจัดหมวดหมู่คู่ค้า

เพื่อการขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางด้านความยั่งยืนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โอสถสภาได้ปรับประยุกต์แนวทางสากลตามมาตรฐาน ISO 20400 Sustainable Procurement เข้ากับการบริหารจัดการคู่ค้า และได้มีการกำหนดบริบทของหมวดหมู่คู่ค้า ดังนี้

  • คู่ค้าที่สําคัญ (Significant Suppliers) หมายถึง คู่ค้าที่ระบุว่าอาจมีแนวโน้มความเสี่ยงต่อผลกระทบทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม (ESG) ของบริษัทฯ และ/หรือ คู่ค้าที่มีความเกี่ยวข้องทางธุรกิจที่สำคัญกับบริษัทฯ (Critical Tier 1 Suppliers)
  • คู่ค้ารายสำคัญลำดับที่ 1 (Critical Tier 1 Suppliers) หมายถึง คู่ค้าในกลุ่ม Direct Material ที่เข้าข่ายตามหลักเกณฑ์ดังนี้ 1. มีมูลค่าการซื้อขายสูง เป็นจำนวนมากกว่าร้อยละ 67 ของมูลค่าการซื้อขายรวมของกลุ่มคู่ค้าที่ได้ผ่านกระบวนการคัดเลือกและอยู่ในรายชื่อคู่ค้าขึ้นทะเบียน (Approved Vendor List) 2. คู่ค้ากลุ่มกลยุทธ์ที่มีการวางแผนการจัดซื้อจัดจ้างร่วมกันหรือมีการตกลงในริเริ่มพัฒนาโครงการร่วมกัน 3. กลุ่มที่มีน้อยรายหรือหาทดแทนได้ยาก
  • คู่ค้ารายสำคัญลำดับถัดไป (Critical Non-Tier 1 Suppliers) หมายถึง เกษตรกร และผู้ผลิตวัตถุดิบที่ส่งให้กับคู่ค้าลำดับที่ 1 (Tier-1 Suppliers)

ผลการดำเนินงานที่สำคัญ

โอสถสภาร่วมมือกับพันธมิตรในการขยายธุรกิจและค้นหาโอกาสในการสร้างการเติบโตอย่างมีความ รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การดำเนินงานร่วมกันกับพันธมิตรของเราในการบริหารจัดการประเด็น ทางด้านความยั่งยืนและพัฒนาศักยภาพในการร่วมสร้างผลกระทบเชิงบวก ทำให้เราสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ ที่มีคุณภาพไปยังผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในปริมาณที่ครบถ้วนด้วยราคาที่เหมาะสม

ความมุ่งมั่นและการใช้วัตถุดิบทางเกษตรอย่างยั่งยืน

วัตถุดิบทางการเกษตรมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ

โอสถสภามีความตั้งใจในการเลือกใช้วัตถดุิบทางการเกษตรอย่างยั่งยืนครอบคลุมไปจนถึงการสรรหาจากแหล่งผลิตที่มีการจัดการอย่างยั่งยืน (Sustainable Sourcing) เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนเป็นพื้นฐานของการรับรู้ซึ่งส่งผลความพึงพอใจของผู้บริโภค บริษัทฯ จึงมุ่งมั่นที่จะจัดหาวัตถุดิบทางการเกษตรซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในกระบวนการผลิตจากผู้จัดจำหน่ายที่ได้มาตรฐานและมีความรับผิดชอบ โดยในปี 2566 บริษัทฯ ได้ส่งหนังสือเพื่อแสดงเจตนารมณ์ และประกาศความมุ่งมั่นในการใช้วัตถุดิบทางการเกษตรและการเกษตรอย่างยั่งยืนไปยังคู่ค้าผู้จัดหาวัตถุดิบทางการเกษตรทั้งหมดของโอสถสภา (Tier-1 and non-Tier 1 Suppliers)

การจัดซื้อวัตถุดิบและพืชผลทางการเกษตร

วัตถุดิบทางเกษตรร้อยละ
6% จากยอดการสั่งซื้อทั้งหมดของวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์คือน้ำตาล

โดยโอสถสภา แสดงเจตนารมณ์ที่จะพิจารณาการสั่งซื้อจากคู่ค้าที่ปฏิบัติตามมาตรฐานการผลิตที่ยั่งยืน (BonSucro, VIVE, SMETA, Fairtrade) พร้อมให้การร่วมมือและส่งเสริมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

โอสถสภาแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนในการจัดหาวัตถุดิบจากคู่ค้าที่ปฏิบัติตามมาตรฐานการผลิตอย่างยั่งยืน อาทิ BonSucro, VIVE, SMETA และ Fairtrade พร้อมทั้งให้การสนับสนุนและความร่วมมือเพื่อยกระดับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทาน โดยในปี 2024 น้ำตาลที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน Fairtrade คิดเป็น 10.72% ของปริมาณน้ำตาลที่จัดซื้อทั้งหมดจากแหล่งผลิต ขณะเดียวกันในปี 2025 บริษัทฯ ได้ขยายการรับรองด้านความยั่งยืนเพิ่มเติม โดยมีน้ำตาลที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน BonSucro คิดเป็น 3% ของปริมาณน้ำตาลทั้งหมดจากแหล่งผลิต

ทั้งนี้ การจัดหาวัตถุดิบทางการเกษตรของบริษัทฯ ได้ครอบคลุมถึงโครงการที่สำคัญเพื่อความยั่งยืน ได้แก่ โครงการลดการใช้น้ำ (Programs to reduce water consumption), โครงการลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม (Programs to reduce environmental pollution), โครงการอนุรักษ์ความอุดมสมบูรณ์ของดิน (Programs to protect soil health), โครงการป้องกันการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ (Programs to prevent the destruction of ecosystems) และโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Programs to reduce GHG emissions)

โครงการพัฒนาเกษตรผู้ปลูกสมุนไพร

ด้วยวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของโอสถสภาในการเป็น “พลังเพื่อเสริมสร้างชีวิต” โอสถสภาดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านความยั่งยืนยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม

และยังได้กำหนดนโยบายการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับคู่ค้ารายย่อย ซึ่งรวมถึงผู้จัดหาวัตถุดิบสมุนไพร ตลอดจนการใช้ส่วนผสมสมุนไพรที่มาจากการจัดหาความยั่งยืน

จากเป้าหมายดังกล่าว ทางโอสถสภาจึงได้ทำงานร่วมกับ สวทช. มหาวิทยาลัย และหน่วยงานด้านการเกษตร ตลอดจนเกษตรกร ในการให้ความรู้และส่งเสริม การลดการใช้น้ำ การลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม, การปกป้องการเสื่อมสภาพของดิน การป้องกันการทำลายระบบนิเวศ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับการผลิต การแปรรูป การพัฒนาต่อยอดสมุนไพร วัตถุดิบทางการเกษตรและทรัพยากรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ โดยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อให้เป็นแหล่งการผลิตวัตถุดิบสมุนไพรที่มีคุณภาพมาตรฐาน และมูลค่าสูงอย่างครบวงจร ซึ่งจะช่วยยกระดับรายได้ เพิ่มคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ชุมชน สังคม ให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน สำหรับโครงการนี้บริษัทฯ ได้มุ่งเน้นในส่วนของสมุนไพรที่โอสถสภาเลือกใช้ในการผลิต และสมุนไพรท้องถิ่น ได้แก่ ขิง, ไพล และฟ้าทะลายโจร

ผลลัพธ์/ประโยชน์ที่ได้รับ

  1. เพื่อช่วยให้กลุ่มเกษตรกรผลิตวัตถุดิบสมุนไพรที่มีคุณภาพ มาตรฐาน และมูลค่าสูงอย่างครบวงจร
  2. เพื่อช่วยยกระดับรายได้ เพิ่มคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ชุมชน สังคม ให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืนมาตรฐาน
  3. โอสถสภาได้รับวัตถุดิบสมุนไพรที่มีคุณภาพ มาตรฐาน และทราบแหล่งที่มา เนื่องจากประสานงานร่วมกับสวทช. และกลุ่มเกษตรกร
  4. เพื่อช่วยให้กลุ่มเกษตรกรมีตลาดใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น

สมุนไพรอย่างยั่งยืน

เพื่อรับมือกับความท้าทายในการพัฒนาความยั่งยืนด้านเกษตรกรรม โอสถสภาได้มีการดำเนินงานโดยร่วมมือกับหลายฝ่าย

เราริเริ่มโครงการจัดหาสมุนไพรยั่งยืน ในปี 2563 ร่วมกับผู้จัดจำหน่าย และกองผลิตภัณฑ์สมุนไพร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาภายใต้กระทรวงสาธารณสุข โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความมั่นคงในการจัดหาสมุนไพรไทยที่มีคุณภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวนอกจากช่วยลดความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานให้แก่โอสถสภา ยังช่วยส่งเสริมเกษตรกรที่เข้าร่วมในโครงการให้มีโอกาสในการเข้าถึงตลาดที่มากขึ้นทำให้สามารถขยายกำลังการผลิต และช่วยสร้างความยั่งยืนของรายได้

สมุนไพร 23 ชนิด
ที่สามารถปลูกในสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยมาจากเกษตรกรในท้องถิ่น
เกษตรกร 107 ครัวเรือน
เข้าร่วมโครงการฟาร์มสมุนไพรยั่งยืนของโอสถสภา

ส่งเสริมโครงการการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้

ส่งเสริมเกษตรกรไทยด้วยขิงปลอดภัยไร้สารเคมี จากวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน

บริษัทฯสนับสนุนโครงการการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (ด้านพืชสมุนไพร) ซึ่งได้ส่งมอบผลผลิตขิงล็อตแรก จากการทดลองปลูกโดยเกษตรกรผู้ร่วมโครงการฯ ให้กับตัวแทนจากโรงพยาบาลห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษเพื่อนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และยาสมุนไพรต่อไป โดยโครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือของบริษัทฯ ร่วมกับทีมวิจัยจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และหน่วยงานใน ท้องถิ่นในจังหวัดศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด และมหาสารคาม เพื่อบูรณาการความร่วมมือ ในการวิจัย พัฒนา และถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และยกระดับการผลิต แปรรูป พัฒนาต่อยอดพืช สมุนไพร นำไปสู่การยกระดับรายได้ และคุณภาพชีวิต ของเกษตรกรไทยต่อไป

ส่งมอบขิงปริมาณกว่า 680 กิโลกรัม (สด)
ที่มีความปลอดภัย ไม่ใช้สารเคมี และปราศจากสารโลหะหนัก

โอสถสภาได้รับการรับรองมาตรฐานการจัดซื้ออย่างยั่งยืน (ISO 20400 Sustainable Procurement)

จากความมุ่งมั่นในการขยายผลการดำเนินการด้านความยั่งยืนไปตลอดห่วงโซ่อุปทานของบริษัทฯ เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ในการเป็น “พลังเพื่อเสริมสร้างชีวิต” ให้แก่ผู้บริโภคและสังคม บริษัทฯ จึงมีการประยุกต์ใช้มาตรฐานสากล ISO 20400: 2017 ซึ่งเป็นมาตรฐานด้านการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน ในการยกระดับมาตรฐานการจัดซื้ออย่างยั่งยืนของโอสถสภา ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ส่งเสริมระบบการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมการดำเนินการด้านความยั่งยืนของคู่ค้า

โครงการพลาสติกคืนชีพ

บริษัทฯ ได้นำเศษซากพลาสติกมาผลิตเป็นเม็ดพลาสติกใหม่และนำไปใช้เป็นฟิล์มสำหรับห่อผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มของโอสถสภา เนื่องจากเศษซากพลาสติกเหล่านั้นสามารถนำไปหลอมเป็นเม็ดพลาสติก PCR (Post-Consumer Recycled Plastic Waste Resin หรือ เม็ดพลาสติกที่แปรรูปมาจากขยะพลาสติก โดยการนำมาแปรรูปให้เพื่อสามารถนำกลับมาใช้ได้) มาผสมกับเม็ดพลาสติก Virgin โดยมีสัดส่วนคือ PCR 30 : Virgin 70 ผลิตเป็นฟิล์มใหม่ นำมาแพ็คสินค้าได้ต่อไป โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนา เพิ่มประสิทธิภาพ การผลิต แปรรูป พัฒนาต่อยอดกระบวนการเพื่อการนำเม็ดพลาสติกจากเศษพลาสติกที่ใช้แล้วจากโรงงานของโอสถสภาและบริษัทในเครือกลับมาใช้ใหม่ในโครงการนี้

บริษัทฯ ร่วมกับบริษัท ยูเนี่ยน เจ. พลัส (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านกระบวนการผลิตเม็ดพลาสติก นำเศษซากพลาสติกที่ใช้แล้วจากโอสถสภาและบริษัทในเครือไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเม็ดพลาสติก PCR และจัดส่งเม็ดพลาสติกเหล่านี้กลับมาที่โรงงานโอสถสภา เพื่อใช้ในการผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับห่อหรือบรรจุสินค้าของโอสถสภา ตามมาตรฐานโอสถสภาอย่างครบวงจร

วัตถุประสงค์ของความร่วมมือ

  1. เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนจากเศษซากพลาสติกที่มีการใช้งานแล้วให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจของทั้งสองบริษัท
  2. เพื่อเชื่อมโยงตลาดการขายเศษซากพลาสติกจากโรงงานอุตสาหกรรมกับการผลิตเม็ดพลาสติกสำหรับการทำบรรจุภัณฑ์ใหม่ และเพิ่มช่องทางการตลาดในการรับซื้อเม็ดพลาสติก
  3. เพื่อสนับสนุนนโยบายการทำการจัดซื้ออย่างยั่งยืน (ISO 20400 Sustainable Procurement)

ผลลัพธ์/ประโยชน์ที่ได้รับ

  1. ลดรายจ่ายในการซื้อจำนวนเม็ดพลาสติกที่เป็น Virgin ได้ร้อยละ 30
  2. เป็นผู้ผลิตรายแรกที่ใช้การผสมเม็ด PCR และ Virgin เพื่อนำมาผลิตเป็นฟิล์มบรรจุภัณฑ์สำหรับห่อหรือบรรจุสินค้า
  3. เป็นผลิตภัณฑ์ยั่งยืนที่สามารถลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จาก
  4. Recycle Resin
  5. Circular Economy: Make-Use-Return
  6. ลดขั้นตอนของกระบวนขายเศษพลาสติกของหน่วยงานจัดซื้อที่ขายเศษซาก โดยลดขั้นตอนในการจัดหาผู้รับซื้อเศษซาก ซึ่งทีมได้ตกลงใน MOU ที่จะส่งเศษพลาสติกให้กับบริษัท ยูเนี่ยน เจ. พลัส (ไทยแลนด์) จำกัด เพียงรายเดียว

ในปี 2566 โอสถสภาได้ดำเนินการประเมินความเสี่ยงด้านทรัพยากรน้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน ในพื้นที่ดำเนินการบริษัทและคู่ค้าครอบคลุมประเด็น

  • ปริมาณ ความพอเพียง และคุณภาพ
  • กฎหมายท้องถิ่นและโครงสร้างราคา
  • ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัจจัยทางด้านกายภาพ
  • การยอมรับ ความเข้าใจของชุมชนโดยรอบ

การจัดหาวัสดุเศษแก้วอย่างยั่งยืน

โอสถสภา ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม เฉกเช่นเดียวกับการผลิตเครื่องดื่มที่มีคุณภาพ ในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่บรรจุในขวดแก้วถือเป็นสินค้าหลักของเรา ทั้งนี้ ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ขวดแก้ว เราได้นำเศษแก้วหรือขวดแก้ว ที่ใช้แล้วกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตซึ่งช่วยให้เราสามารถบริหาร ต้นทุนและลดความเสี่ยงด้านการจัดหาวัตถุดิบที่อาจเกิดขึ้นในห่วง โซ่อุปทาน เพื่อลดความเสี่ยงในการจัดหาวัตถุดิบ เราได้มีการพัฒนา การจัดหาวัสดุเศษแก้วอย่างยั่งยืน ตั้งแต่ปี 2563 โดยขยายความร่วม มือไปยังพันธมิตรผู้จัดหาวัสดุเศษแก้วทั้งรายใหญ่และรายย่อย

เรามีความมุ่งมั่นในการเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ศูนย์รีไซเคิลลดปริมาณขยะขวดแก้วที่ใช้แล้วในประเทศ และให้การส่งเสริม ผู้ประกอบอาชีพรวบรวมและเก็บขยะอิสระ (ซาเล้ง) ด้วยระบบ สร้างแรงจูงใจ สำหรับการจัดหาวัสดุเศษแก้วเพื่อส่งมอบให้ แก่โอสถสภานอกจากนี้ บริษัท ได้มีแผนที่จะขยายความร่วม มือไปยังพันธมิตรรายย่อยขนาดกลางและขนาดเล็กในท้องถิ่น เพื่อช่วยให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายตามหลักการเศรษฐกิจ หมุนเวียน และสร้างการเติบโตในห่วงโซ่อุปทานที่ครอบคลุม ทุกผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย

แนวการการยกระดับมาตรฐานการจัดซื้ออย่างยั่งยืน (ISO 20400)

โอสถสภามีความมุ่งมั่นในการขยายผลการดำเนินการด้านความ ยั่งยืนไปตลอดห่วงโซ่อุปทานของบริษัท เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ ในการเป็น “พลังเพื่อเสริมสร้างชีวิต” ให้แก่ผู้บริโภคและสังคม

โดยดร. วิวรรธน์ กฤษฎาสิมะ Chief Supply Chain and Digitization Officer ได้ให้แนวทางในการประยุกต์ใช้มาตรฐานสากล ISO 20400: 2017 ซึ่งเป็นมาตรฐานด้านการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน ในการยกระดับมาตรฐาน การจัดซื้ออย่างยั่งยืนของโอสถสภา ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ส่งเสริมระบบการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมการดำเนิน การด้านความยั่งยืนของคู่ค้า โดยได้ดำเนินการร่วมกับ บริษัท เอสจีเอส (ประเทศไทย) จำกัด ในการดำเนินโครงการ “Journey of Sustainable Procurement ISO 20400” การตรวจประเมินและขอการรับรองระบบ มาตรฐานดังกล่าว ตามแผนงานปี 2566