

การสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชน
ผลการดำเนินงาน
การบริจาคและการลงทุนเพื่อสังคม


ชุมชน
ผ่านการสนับสนุนความเป็นพลเมืองดีและการสร้างประโยชน์เพื่อสังคม
“เต๊กเฮงหยู” หรือ “เจริญโดยการช่วยเหลือผู้อื่น” ถือเป็นรากฐานที่โอสถสภายึดมั่นตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท โอสถสภาเชื่อว่าการลงทุนในชุมชนท้องถิ่นมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้แก่สังคมที่อยู่โดยรอบ ซึ่งสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ย่อมส่งผลให้ธุรกิจสามารถดำเนินการและสร้างการเติบโตได้ดียิ่งขึ้น ในฐานะผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพชั้นนำของไทย โอสถสภามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนโดยรอบทั้งในด้านเศรษฐกิจสังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่านการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมให้กับผู้คนในสังคม ผ่านโครงการและกิจกรรมเพื่อสังคมที่ มุ่งเน้นในด้านการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ด้อยโอกาส ส่งเสริมผู้มีความสามารถในท้องถิ่น และสร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพอย่างทั่วถึง
แนวทางการบริหารจัดการ
โอสถสภาเชื่อว่าการลงทุนในชุมชนท้องถิ่นมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิด การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้แก่สังคมที่อยู่โดยรอบ ซึ่งสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ย่อมส่งผลให้ธุรกิจสามารถดำเนินการและ สร้างการเติบโตได้ดียิ่งขึ้น บริษัทฯ จึงได้ดำเนินการเพื่อสนับสนุนและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับคนในสังคมผ่านการบริจาคเพื่อการกุศล การมีส่วนร่วมเชิงกลยุทธ์กับชุมชน ตลอดจนการดำเนินกิจกรรมเชิงพาณิชย์
การสนับสนุนด้านอาชีพเพื่อคนพิการ
การสนับสนุนด้านการศึกษา
ความสัมพันธ์ในชุมชนและสิ่งแวดล้อม
การดำเนินงานที่สำคัญ

การสนับสนุนเพื่อการกีฬาและนักกีฬา
การสนับสนุนเพื่อการกีฬาและนักกีฬามูลค่ารวมกว่า
สมาคมกีฬามวยสากลฯ
สมาคมกีฬายกน้ำหนักฯ
สมาคมกีฬาจักรยานฯ
สมาคมกีฬาตะกร้อฯ
สมาคมกีฬาเทเบิลเทนนิสฯ
สมาคมกีฬาทางอากาศฯ
สมาคมกีฬาวอลเลย์บอลฯ
การสนับสนุนด้านอาชีพเพื่อคนพิการ
โครงการพลังเพื่อก้าวต่อไป (Life must go on) - การสนับสนุนด้านอาชีพและการพัฒนาแพลตฟอร์มการจัดจำหน่ายออนไลน์เพื่อคนพิการ

โอสถสภาให้การช่วยเหลือผู้ที่เคยเป็นเสาหลักในการดูแลครอบครัว แต่ประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย จนทำให้กลายเป็นคนพิการ ผ่านโครงการพลังเพื่อก้าวต่อไป (Life must go on project) มีเป้าหมายเพื่อให้กลุ่มคนพิการดังกล่าวให้สามารถกลับมาสร้าง รายได้ด้วยตนเอง โดยเน้นการส่งเสริมอาชีพเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน หรือแนวคิด “ให้เบ็ดดีกว่าให้ปลา” โดยปีนี้มูลนิธิโอสถสภาได้ต่อยอดโครงการมูลนิธิโอสถสภา มอบโอกาส สร้างอาชีพ
โดยมอบอาชีพให้แก่คนพิการนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด

ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินโครงการฯ โอสถสภาได้สั่งสมองค์ความรู้ ซึ่งนำไปสู่การสร้าง เครือข่ายความร่วมมือร่วมกับองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ กระทรวง แรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมการจัดหางาน หน่วย งานปกครองส่วนท้องถิ่น และกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ รวมถึงได้ ต่อยอดพัฒนาเสริมสร้างโมเดลใหม่ ๆ ซึ่งสร้างความแข็งแกร่งให้แก่คนพิการ ทั้งการ รวมกลุ่มพึ่งพากันและกัน การแลกเปลี่ยนความรู้และช่องทางการจำหน่ายสินค้า ให้คำ แนะนำเกี่ยวกับแนวทางการทำการตลาด ส่งเสริมการขาย และช่วยสร้างแบรนด์ให้แก่ สินค้าของคนพิการในโครงการฯ ได้แก่ สินค้าเกษตรปลอดภัยใช้ชื่อแบรนด์ ‘กินดี’ ส่วนงานจักสานใช้ชื่อแบรนด์ว่า ‘แฮนดี้’ และเฟอร์นิเจอร์งานไม้ใช้ชื่อแบรนด์ ‘อยู่ดี’ นอกจากนี้ ยังได้สร้างเพจกินดีอยู่ดีแฮนดี้ เพื่อขยายช่องทางการทำตลาดออนไลน์ให้ เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญยังได้สนับสนุนให้คนพิการในโครงการเปลี่ยนจากผู้รับ เป็นผู้ให้ แบ่งปันโอกาสที่ตนเคยได้รับให้แก่คนอื่น ๆ รวมถึงได้จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้โดย คนพิการเพื่อคนพิการ เพื่อถ่ายทอดความรู้และทักษะให้แก่สมาชิกใหม่และผู้ที่สนใจ






ในปี 2566 แบรนด์กินดี อยู่ดี แฮนดี้ ช่วยสร้างรายได้ให้กับคนพิการ รวมถึงสมาชิกในครอบครัวหรือผู้ดูแลคนพิการ
รวมผู้ได้ประโยชน์กว่า
โดยมียอดขายกว่า
การขยายช่องทางการขายผ่านออนไลน์

Facebook Page: กินดี อยู่ดี แฮนดี้
พื้นที่สื่อสารการสนับสนุนอาชีพของคนพิการของโอสถสภา
ช่องทางซื้อขายสินค้าของคนพิการในโครงการมาตรา 35 และเครื่อข่าย


Facebook Group: กินดี อยู่ดี มีโอกาส
พื้นที่ออนไลน์เพื่อเป็นพื้นที่ศูนย์กลางการซื้อขายสินค้าจากคนพิการทั่วไป

การบริจาคและการลงทุนเพื่อสังคม
สัดส่วนแยกตามประเภท
3.67%
เงินสนับสนุนเพื่อการศึกษา (เงินและสินค้า)
10.47%
รายจ่ายเพื่อการสาธารณะกุศล
28.55%
เพื่อการกีฬา
51.74%
บริจาคให้แก่สถานพยาบาล
5.57%
กิจกรรมเพื่อสังคม
ความสัมพันธ์กับชุมชนและสิ่งแวดล้อม
โครงการ “จากขวดแก้ว สู่ขวดแก้ว” (Bottle to Bottle)
โอสถสภาดำเนินโครงการจากขวดแก้ว สู่ขวดแก้ว หรือ Bottle to Bottle ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4 โดยใช้หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มุ่งสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับขยะขวดแก้ว ซึ่งเป็นขยะที่มีมูลค่า สามารถสร้างอาชีพ และสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน เนื่องจากขวดแก้วเป็นวัสดุที่สามารถนำมารีไซเคิลได้ 100% และไม่จำกัดจำนวนครั้ง
ในการดำเนินงาน บริษัทได้นำร่องกับชุมชนรอบข้างสำนักงานใหญ่ ย่านหัวหมาก และยังต่อยอดสู่พื้นที่ชุมชนรอบโรงงานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยจัดกระบวนการให้ชุมชนกำหนดตัวแทนรับซื้อขยะขวดแก้วของชุมชน เพื่อรับซื้อและรวบรวมขยะขวดแก้วส่งขายแก่ร้านรับซื้อขยะ หรือโรงงานขวดแก้ว บริษัทจะมอบถังขยะสำหรับคัดแยกขยะขวดแก้ว และส่งพนักงานจิตอาสาจำนวนกว่า 50 คน เข้าไปแนะนำวิธีการแยกขยะแก่ชุมชน รวมถึงรักษาสภาพแวดล้อมอย่างถูกวิธี ตลอดจนปกป้องระบบนิเวศทางธรรมชาติอย่างยั่งยืน ลดการตัดไม้ทำลายป่า และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีการจดบันทึกปริมาณขยะที่ได้รับ เพื่อสมทบทุนจำนวน 50 สตางค์ สำหรับขวดแก้วทุกๆ 1 กิโลกรัมที่ชุมชนรวบรวมได้ เพื่อนำไปจัดหาสิ่งของ จัดกิจกรรมสาธารณประโยชน์ หรือช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสตามที่ชุมชนต้องการ เช่น สร้างลานกีฬาของชุมชน ติดตั้งโซล่าเซลล์เพื่อเพิ่มพลังงานไฟฟ้าสำหรับไฟในพื้นที่สาธารณะ โดยในปี 2567 มีผู้เข้าร่วมโครงการกว่า 215 ครัวเรือน 4 นิติบุคคล และ 1 โรงเรียน และสามารถสร้างรายได้ให้แก่ตัวแทนรับซื้อขยะจาก 4 ชุมชน นอกจากนี้ บริษัทยังได้เข้าร่วมโครงการ Care the Whale โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อจัดส่งถังขยะสำหรับรับขยะขวดแก้วให้แก่บริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วมโครงการกว่า 32 แห่ง รวมถึงวัดจากแดง จังหวัดสมุทรปราการ
ในปี 2567 โครงการจากขวดแก้วสู่ขวดแก้วสามารถรวบรวมขยะขวดแก้วเพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ 91.23 ตัน ช่วยหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศได้ถึง 75.77 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า* และสามารถลดค่าใช้จ่ายจากการซื้อเศษแก้วกลับสู่กระบวนการรีไซเคิลขวดแก้วได้มูลค่าประมาณ 163,000 บาท (อ้างอิงจากราคารับซื้อของบริษัท วงษ์พาณิชย์ อินเตอร์เนชั่นแนล) รวมระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่ปี 2564 บริษัทรับขยะขวดแก้วมาทั้งสิ้น 211.71 ตัน คิดเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศ 175.82 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า*
หมายเหตุ: *คำนวณโดยใช้วิธี LCIA method IPCC 2013 GWP 100a V1.03



